วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

ตำนาน พระแก้วขาว” หรือ “พระเสตังคมณี”

ไปอ่านในเว็บ Cm 77 มาจึงเอามาเล่าสู่กันฟัง

ตำนาน พระแก้วขาว” หรือ “พระเสตังคมณี”
พระแก้วขาว” หรือ “พระเสตังคมณี” เป็นพระพุทธรูปที่นับถือกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถคุ้มครองป้องกันอันตรายและอำนวยความ สุขสวัสดิ์มงคลแก่ผู้ที่เคารพสักการะและได้ปรากฏว่าในอดีตกาลเป็นพระพุทธรูป สำหรับบูชา ประจำพระองค์ของพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์ผู้ครองนครหริภุญชัย และพระเจ้าเม็งรายมหาราช(หรือพระเจ้ามังราย) ปฐมวงศ์เม็งราย ผู้สถาปนาอาณาจักรล้านนาไทยและกษัตริย์ผู้ครองนครหริภุญชัย และนครเชียงใหม่ ในยุคต่อๆ มาก็นับถือเป็นพระพุทธรูปบูชาประจำพระองค์ทั้งสิ้น ในตำนานได้กล่าวถึงการสร้างไว้ว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานล่วงแล้วได้ 700 ปี ในวันเพ็ญเดือน 7 พระสุเทวฤๅษีได้เอาดอกจำปา 5 ดอก ขึ้นไปบูชาพระจุฬามณียังดาวดึงษ์สวรรค์ ได้พบปะสนทนาด้วยพระอินทร์ พระอินทร์จึงบอกกล่าวแก่สุเทวฤๅษีว่า ปีนี้ในเดือนวิสาขะเพ็ญที่ลวะรัฏฐะ จะสร้างพระพุทธปฏิมากรด้วยแก้วขาว ครั้งสุเทวฤๅษีกลับจากดาวดึงษ์เทวโลกแล้วจึงไปสู่เมืองละโว้ ขณะนั้น พระยารามราชเจ้าเมืองละโว้กับพระกัสสปเถระเจ้าปรารภการที่จะสร้างพระแก้ว ซึ่งพระอรหันต์ไปได้แก้วขาวบริสุทธิ์บุษยรัตน์มาจากจันทเทวบุตร แล้วขอพระวิศณุกรรมมาเนรมิต สำเร็จรูปเป็นองค์พระพุทธปฏิมากรสุเทวฤๅษีและฤๅษีองค์อื่นๆ ก็ได้ประชุมช่วยในการสร้างองค์พระด้วย ครั้นสำเร็จแล้วก็บรรจุพระบรมธาตุ 4 องค์ ไว้ในพระโมลี(กระหม่อม) พระนลาต(หน้าผาก) พระอุระ (หน้าอก) พระโอษฐ์(ปาก) รวม 4 แห่งเมื่อสร้างเสร็จแล้ว พระแก้วขาวก็ได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองละโว้สืบมาเป็นเวลานาน ถึงสมัยพระฤๅษีสร้างนครหริภุญชัยขึ้นแล้ว ใช้ให้ควิยะอำมาตย์ ไปเชิญพระนางจามเทวี ราชธิดาของพระเจ้ากรุงละโว้มาครองเมืองหริภุญชัย พระนางจึงขออนุญาตจากพระราชบิดานิมนต์พระภิกษุสงฆ์สามเณร และพระเสตังคมณี(พระแก้วขาว) มาเป็นพระพุทธรูปบูชาประจำพระองค์ พระแก้วจึงได้ประดิษฐาน ณ นครลำพูนแต่นั้นมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี บรรดากษัตริย์ที่ครองเมืองหริภุญชัย(ลำพูน) ทั้งวงศ์เดียวกับพระนางจามเทวีและต่างวงศ์ ต่างได้เคารพบูชาเป็นประจำองค์มาทุกวงศ์ และได้สร้างหอประดิษฐานไว้ในพระราชวัง พระเสตังคมณีประดิษฐานอยู่ ณ เมืองลำพูน ตลอดมาจนกระทั่งรัชสมัยของพระยายีบาเป็นกษัตริย์ครองเมือง ในครั้งนั้นพระเจ้าเม็งรายซึ่งเป็นเจ้าครองนครเงินยวง(เชียงแสน) ได้ยกกองทัพไปปราบบ้านเล็กเมืองน้อยต่างๆ ที่ยังแข็งเมืองอยู่ให้เข้ารวมอยู่ในอำนาจของพระองค์จนหมดสิ้นแล้ว แต่นครหริภุญชัยในครั้งนั้นมีกำลังเข้มแข็งมาก พระองค์จึงคิดกลอุบายให้ขุนอ้ายฟ้า ราชวัลลภคนสนิทไปทำการจารกรรมนานถึง 7 ปี ขุนอ้ายฟ้าเห็นได้โอกาสแล้วจึงส่งข่าวไปให้พระเจ้าเม็งรายให้ยกกองทัพมาตีเมืองหริภุญชัยโดยด่วน พระเจ้าเม็งรายยกกองทัพมาตีเมืองหริภุญชัยในปีพุทธศักราช 1824 ชาวเมืองที่ไม่ยอมทิ้งเมืองเข้าต่อสู้อย่างเข้มแข็งดุเดือด กองทัพเม็งรายต้องใช้ธนูไฟเพลิงยิงเข้าไปทำให้เกิดเพลิงไหม้ทั้งเมือง ในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่กองทัพพระเจ้าเม็งราย

เมื่อยกเข้าเมืองได้แล้ว พระเจ้าเม็งรายจึงเสด็จออกตรวจดูความเสียหาย สิ่งที่ทำให้พระองค์ทรงประหลาดพระทัยที่สุดคือ หอพระซึ่งอยู่ในบริเวณพระราชวังของพระยายีบา หาได้ถูกเพลิงไหม้ แต่บริเวณรอบๆ นั้นถูกเพลิงเผาผลาญพินาศหมด พระองค์จึงเข้าไปทอดพระเนตรดู เห็นพระแก้วขาวสถิตอยู่ ณ ที่นั้น ก็เกิดมีพระราชศรัทธาปสาทะเป็นอันมากจึงอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ ที่ประทับของพระองค์ ทรงเคารพสักการบูชาเป็นพระพุทธรูปประจำพระองค์แต่นั้นมา ต่อเมื่อพระองค์มาสร้างนครเชียงใหม่เป็นราชธานี เมื่อปีพุทธศักราช 1839 ได้อัญเชิญพระแก้วขาวมาประดิษฐานในพระราชวังจนตลอดรัชกาล แม้ในเวลาเสด็จออกศึกก็ทรงนิมนต์พระแก้วขาวไปด้วยทุกครั้ง พระองค์มิได้ประมาทในพระแก้วขาวเลย เมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว พระแก้วขาวก็ยังคงประดิษฐานอยู่ในเมืองเชียงใหม่ตลอดมาจนกระทั่งถึงรัชกาลของพระเจ้าติโลกราช รัชกาลที่ 11 แห่งราชวงศ์เม็งราย พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง ได้ทำนุบำรุงการพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่ายุคใดๆ ทั้งสิ้น พระองค์โปรดให้หมื่นด้ามพร้าคต ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างถาวรวัตถุในวัดวาต่างๆ และสร้างหอพระแก้วมรกตและพระแก้วขาวไว้ในพระอารามราชกุฏาคารเจดีย์(คือเจดีย์หลวง) ในปีพุทธศักราช 2022 ในยุคนี้พระพุทธรูปสำคัญหลายองค์ ได้มาประดิษฐานในนครเชียงใหม่พระแก้วขาวได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง ในสมัยของพระเจ้าติโลกราช มาตราบถึงสมัยของพระยอดเชียงราย ราชนัดดา ในสมัยนี้มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระแก้วขาวคือ ในครั้งนั้นมีราชบุตรพระยาเมืองใต้ชื่อสุริยะวังสะบวชเป็นภิกษุขึ้นมาจำพรรษาอยู่วัดเวฬุวัน(กู่เต้า) ในระหว่างปีพ.ศ. 2030 - 2049 ได้มารักใคร่ชอบพอกับนางท้าวเอื้อยหอขวาง ราชธิดาของพระเจ้าติโลกราชเป็นอย่างยิ่ง สุริยะวังสะภิกขุมีความประสงค์อยากได้พระแก้วขาว จึงรบเร้าขอให้นางท้าวเอื้อยหอขวางจัดการให้ นางท้าวเอื้อยฯจึงทำกลอุบายว่าป่วยไข้ ขออาราธนาพระแก้วขาวมาสักการบูชาในที่อยู่ของตนเพื่อหายป่วยไข้ ครั้นนานหลายวันเข้า พันจุฬาผู้รักษาหอพระจึงมาขอเอาพระแก้วคืน นางท้าวเอื้อยฯก็ให้ทองคำพันหนึ่งเป็นสินบนปิดปาก แล้วนางจึงเอาพระแก้วขาวใส่ไว้ในสถูปแล้วใส่ถุงคลุมมิดชิดดีแล้ว ใช้ให้อ้ายกอน ทาสชายนำไปถวายแก่สุริยะวังสะภิกขุ จากนั้นสุริยะวังสะภิกขุจึงเอาไม้เดื่อมาแกะเป็นองค์ แล้วเอาพระแก้วขาวใส่ไว้ภายในแล้วก็พาหนีไปเมืองใต้เสียต่อมาในปีพ.ศ. 2035 พระยอดเชียงรายราชให้ทรงสร้างพระอารามขึ้นในทิศตะวันตกเฉียงใต้เมือง ให้ชื่อว่าวัดตะโปทาราม(วัดรำพึง) ด้วยมีพระประสงค์จะเอาพระแก้วขาวไปประดิษฐานไว้ที่นั้น เมื่อทราบข่าวว่าพระแก้วหายไป จึงสืบสวนได้ความจากอ้ายกอนว่า นางท้าวเอื้อยหอขวางได้ใช้ให้ตนนำไปถวายแก่สุริยะวังสะภิกขุ และได้นำพระหนีไปจากเมืองแล้ว พระยอดเชียงรายได้ใช้ราชทูตเชิญเครื่องราชบรรณาการและราชสาส์น ไปถวายพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาเพื่อขอพระแก้วคืน พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาตอบพระสาส์นมาว่า สืบหาก็ไม่ได้ความ และหาที่ไหนก็ไม่พบ พระยอดเชียงรายราชขัดพระทัย จึงยกกองทัพไปยังกรุงศรีอยุธยา อยู่ได้เดือนหนึ่งจึงได้พระแก้วขาวคืนแล้ว จึงเลิกทัพกลับมา พระแก้วขาวจึงได้ประดิษฐาน ณ เมืองเชียงใหม่ตามเดิม ในปัจจุบันนี้ พระแก้วขาว(เสตังคมณี) ประดิษฐาน ณ วัดเชียงมั่น เมืองเชียงใหม่ เพื่อเป็นมิ่งขวัญของชาวเชียงใหม่เป็นปูชนียวัตถุชิ้นสำคัญของชาวลานนาไทยสืบต่อมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น